สวัสดีค่ะทุกคน ชิฟูมิ มายด้า ผู้บริหารสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาชมบล็อก
“รีวิวจริงจากผู้บริหารสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย” นะคะ
วันนี้ดิฉันจะมารีวิวร้าน Savelberg ร้านอาหารฝรั่งเศสมิชลิน 1 ดาวค่ะ
เมื่อก่อนร้านนี้อยู่แถวถนนวิทยุ เพิ่งจะย้ายมาที่ถนนเย็นอากาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2021 ที่ผ่านมานี้
จริงๆ ร้านนี้อยู่เยื้องกับร้าน Don Asado ที่เพิ่งรีวิวไปคราวก่อน
ดิฉันแอบสนใจร้านนี้มาสักพักแล้ว แต่พอร้านมาอยู่ใกล้บ้าน ก็ดันมีเหตุที่ทำให้ไม่ได้ไปลองสักที
แต่รอบนี้มีโอกาสได้ไปเพราะ Lunch Course ที่เสิร์ฟเฉพาะวันเสาร์นี่ล่ะค่ะ
ประวัติของ Savelberg
ร้าน Savelberg ของเชฟ Henk Savelberg เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสมิชลิน 1 ดาวที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 2014
เมื่อก่อนร้านอยู่แถวถนนวิทยุ แต่ย้ายมาเปิดที่ถนนเย็นอากาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2021
เป็นร้านอาหารที่ให้ฟีลเหมือนคฤหาสน์หลังใหญ่
Savelberg ได้รับคัดเลือกรางวัลมิชลิน 1 ดาวเป็นครั้งแรกในมิชลินไกด์ปี 2022
เป็นสาเหตุที่ทำให้ดิฉันตั้งหน้าตั้งตารออาหารที่จะมาเสิร์ฟอย่างมากเลยค่ะ
(รีวิว) Savelberg
บรรยากาศภายในร้าน
ผ้าปูโต๊ะสีขาวแมทช์กับบรรยากาศนอกร้านที่เต็มไปด้วยสีขาวได้เป็นอย่างดี
ตัวร้านตกแต่งด้วยสีโมโนโทนขาวและดำตัดกันอย่างลงตัว
พนักงานจะใส่เครื่องแบบสีดำ ทุกสิ่งที่ได้เห็นในร้านนี้ดูสวยงามเข้ากันไปหมด
แต่ละโต๊ะจะตั้งไว้ให้ห่างออกจากกัน เป็นรูปแบบการจัดร้านที่ทำให้รู้สึกสบายไม่อึดอัดเลยค่ะ
มองเห็นสวนผ่านหน้าต่าง เหมือนภาพวาดสวยๆ ภาพหนึ่งเลย
ได้ดูฝูงนกตัวเล็กๆ บินมาเกาะต้นไม้ไปด้วย รู้สึกผ่อนคลายมากค่ะ
เป็นร้านที่เก็บรายละเอียดได้เนี้ยบพร้อมด้วยสุนทรียภาพที่งดงามแบบพอดีไม่มากจนเกินไป
รีวิวอาหาร
ที่ร้านจะแบ่งเป็นคอร์สอาหารกลางวันและอาหารเย็น
แต่อาหารกลางวันจะมีเฉพาะวันเสาร์
เมนูอาหารกลางวันมีดังนี้ค่ะ
ไม่มีไวน์คู่กับอาหารให้สั่ง แต่ให้พนักงานช่วยแนะนำไวน์ที่เหมาะกับอาหารได้ค่ะ
ดิฉันกับสามีน่าจะทานแบบ 6 คอร์สไม่ไหว
ประจวบเหมาะกับมาวันเสาร์พอดี เลยสั่งเป็นชุดอาหารกลางวัน (3 คอร์ส) ที่มีเสิร์ฟเฉพาะวันเสาร์เท่านั้นค่ะ
ใน 3 คอร์สจะมีอาหารเรียกน้ำย่อย จานหลัก และของหวาน
อาหารเรียกน้ำย่อย จานหลัก และของหวานจะมีให้เลือกอย่างละ 3 แบบ
สามารถเลือกที่อยากทานได้เลยค่ะ
ระหว่างรออาหารเรียกน้ำย่อยมาเสิร์ฟก็จะมี “Amuse (ของว่างทานเล่น)” ให้ทานรอไปพลางๆ ก่อน
วันนี้มี Amuse เสิร์ฟให้ถึง 4 อย่างเลยค่ะ
ดิฉันตื่นเต้นกับ Amuse มากๆ และดิฉันก็คิดว่าผู้อ่านทุกคนก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันใช่ไหมคะ?
เมื่อได้ทาน Amuse แล้วคุณจะคาดหวังเป็นอย่างมากว่าทางร้านจะเสิร์ฟอาหารแบบไหนมาให้ทานกันนะ?
อาหารเรียกน้ำย่อยในวันนั้นสามารถเลือกได้ระหว่าง “ฟัวกราส์” “Blue Crab” และ “มะเขือเทศ”
สามีดิฉันเลือกฟัวกราส์ ส่วนดิฉันเลือกเป็น Blue Crab ค่ะ
จะว่าไปแล้วตอนไปที่ร้าน Le Normandie เมื่อเดือนก่อน สามีดิฉันก็เลือกฟัวกราส์เหมือนกัน
จานฟัวกราส์ปรุงแบบไม่ซับซ้อนแต่ช่วยดึงรสชาติของวัตถุดิบออกมาได้เป็นอย่างดี
ส่วนไวน์สามีสั่งเป็นไวน์แดงแบบ Medium Body มาค่ะ
พอทานคู่กับไวน์แล้วยิ่งรับรสกลมกล่อมของฟัวกราส์ได้มากกว่าเดิมอีกค่ะ
ส่วนของดิฉันเป็น Blue crab
ชั้นสีขาวบนสุดคือ “Cream Fraiche” รองลงมาจะมีอะโวคาโด ปู และมะเขือเทศ รวมเป็น 4 ชั้น
คาเวียร์ที่ออนท็อปอยู่ด้านบนเข้ากับรสเค็มของปูได้อย่างลงตัว
เสริมรสด้วยความข้นของอะโวคาโดและรสเปรี้ยวเบาๆ ของมะเขือเทศ อร่อยมากเลยค่ะ
สามีเห็นจานอาหารแล้วก็พูดว่า
จานไม่ใช่สไตล์ตะวันตก แต่รู้สึกได้ถึงความเป็นญี่ปุ่นเนอะ
พอได้ยินแบบนี้แล้วก็นึกถึง “Kintsugi (ศิลปะการซ่อมถ้วยชามของญี่ปุ่น)” ขึ้นมาเลยจริงๆ ค่ะ
อาจจะไม่ใช่มารยาทบนโต๊ะอาหารที่ดีสักเท่าไร แต่พอลองพลิกดูใต้จานแล้วก็พบว่า…
มีคำว่า “KINTSUGI” เขียนไว้จริงๆ ด้วยค่ะ
อาจจะไม่ใช่ Kintsugi แท้ๆ แต่ก็น่าจะเป็นจานที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Kintsugi ของญี่ปุ่นนี่ล่ะค่ะ
เป็นศิลปะการซ่อมแซมภาชนะกระเบื้องหรือเซรามิคที่แตกหักด้วยทองคำ
ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14
ต่อมาเป็นจานหลักค่ะ
สามีสั่งเป็น “Wagyu Hanger Steak” แบบมีเดียมแรร์
หากทานคู่กับ Parsnip ที่เสิร์ฟมาคู่กันในจานแล้วจะได้รสชาติที่พิเศษและอร่อยลงตัวมากเลยค่ะ
สามีแบ่งมาให้ลองทานบางส่วน เป็นผักที่ได้ลองทานเป็นครั้งแรกเลยค่ะ
รสชาติจะคล้ายๆ กับเฟนเนล (Fennel)
ซอสที่ใช้เป็นของแบรนด์ “Tomasu soya sauce” บริษัทผู้ผลิตซอสโชยุเพียงหนึ่งเดียวในยุโรป
ดิฉันได้ทานหน่อไม้ฝรั่งขาวของโปรดด้วยค่ะ
เหมือนจะนำเข้ามาจากเนเธอร์แลนด์ที่เป็นบ้านเกิดของเชฟด้วยนะคะ
ในยุโรปถือว่าเป็นผักที่ทำให้สัมผัสได้ถึงฤดูใบไม้ผลิตที่กำลังจะมาเยือน
ทานคู่กับมันบดและ Beurre Blanc Sauce ค่ะ
พอรู้ว่าเป็นเมนูที่เสิร์ฟตามฤดูกาลเท่านั้นก็อดที่จะทานไม่ได้เลยค่ะ
ส่วนจานสุดท้ายเป็นของหวาน สามีดิฉันสั่งเป็น “Forest Mushroom” ค่ะ
เป็นจานที่มีหลายเลเยอร์ ทั้งไวท์ช็อกโกแลต มูสวนิลาและโยเกิร์ต สปันจ์เค้กพิสตาชิโอ และมาร์ชแมลโลว์
หน้าตาเหมือนเห็ดพิษอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ดูน่ารักดีค่ะ
ถ้าเป็นคนชอบทานหวานก็น่าจะชอบเมนูนี้
แต่ดิฉันไม่ค่อยถนัดของหวานเลยอาจไม่ค่อยถูกปากค่ะ
ส่วนสามีดิฉันที่ชอบของหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ทานได้อย่างเอร็ดอร่อยเลยค่ะ
ของหวานดิฉันสั่งเป็นเมนู Baiser Pappollion มาค่ะ
เป็นจานของหวานที่ประกอบด้วยช็อกโกแลตมูส ยูซุ และส้ม
ส้มที่อยู่ด้านในจะให้รสหวานอมเปรี้ยว ผสมกับความหวานของช็อกโกแลต ได้รสชาติสดชื่นและลงตัวมากค่ะ
อาหารที่มาเสิร์ฟไม่ได้เยอะมาก แต่รู้สึกอิ่มกำลังดี
ไม่รู้อิ่มบรรยากาศหรือเพราะได้ทานอาหารอย่างผ่อนคลายกันแน่
จานของหวานออกจะหวานไปหน่อย เลยสั่งกาแฟมาทานคู่กันไปด้วย ดื่มไปทานไปค่ะ
นอกจากนี้ยังมีคาเนเล่ (Canelé) คุกกี้ ช็อกโกแลตให้ทานเล่นได้อีกด้วย
แต่พวกเราทานไม่ไหวแล้วเลยขอนำกลับบ้านแทนค่ะ
รู้สึกตัวอีกทีถึงได้รู้ว่าใช้เวลาอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว
ดิฉันรู้สึกคุ้มค่ามากที่ได้ใช้เวลาไปกับการทานอาหาร
เสพความสวยงามของจานอาหาร บริการ รวมถึงการจัดโต๊ะที่เว้นระยะห่างให้เป็นอย่างดี
การแต่งกาย
การแต่งกายควรเป็นแบบ Smart Casual ค่ะ
จริงๆ ทางร้านก็ไม่ได้ระบุการแต่งกายของผู้หญิงไว้ชัดเจน
แต่ผู้ชายให้ใส่กางเกงขายาวและรองเท้าที่มองไม่เห็นนิ้วเท้าค่ะ
ราคา
ราคาอาหารแบบเซ็ตเมนูมีดังนี้
ทางร้านไม่มีเมนู A la carte ค่ะ
・3 courses lunch menu(2,500 THB)
・Experience 6 courses menu(4,650 THB)
・Vegetarian(3,650 THB)
・Experience 6 courses menu(4,650 THB)
・Vegetarian(3,650 THB)
*ราคาข้างต้นยังไม่รวม Service charge และ VAT 7%
*ต้องจ่ายค่ามัดจำ 1,000 บาท/1 คนเมื่อจองโต๊ะ
เราสองคนจ่ายค่าอาหารไป 9,200 บาท
ราคานี้รวมชุดอาหารกลางวัน 3 คอร์สสำหรับ 2 คน,
ไวน์ขาวและไวน์แดงอย่างละ 2 แก้ว และกาแฟอีก 2 แก้วค่ะ
รายละเอียดร้าน Savelberg
ที่ตั้ง: ถนนเย็นอากาศ 2
เว็บไซต์:https://www.savelbergth.com/
วันทำการ: วันจันทร์ – วันเสาร์ (ปิดทำการวันอาทิตย์)
LUNCH 12:00 – 14:30 (เฉพาะวันเสาร์)
DINNER 20:00 – 22:00
ที่จอดรถ: มี
บล็อกนี้สามารถอ่านได้ในภาษาอังกฤษ
กรุณาแสดงความคิดเห็นหากคุณชอบบทความนี้