สวัสดีค่ะทุกคน
ชิฟูมิ มายด้า ผู้บริหารสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยค่ะ
สถานที่ที่ดิฉันจะแนะนำในวันนี้คือ รีสอร์ทในประเทศไทยที่มีชื่อว่า
โซเนวา คีรี (Soneva Kiri) สถานที่ซึ่งถ้าพาลูกๆ ไปแค่ครั้งเดียวก็จะงอแงว่า
“ไม่อยากกลับบ้าน! อยากอยู่ที่นี่ต่อ!”
และไม่ยอมกลับบ้าน และถ้าเป็นผู้ใหญ่อย่างดิฉันไปก็จะหลุดพูดออกมาเลยว่า
“อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่!”
รีวิวเที่ยวโซเนวา คีรี (Soneva Kiri)
รีสอร์ท Soneva Kiri เป็นหนึ่งในสถานที่ฮันนีมูนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น
จริงๆ แล้วดิฉันเคยมาพักที่นี่ 3 ครั้งแล้วค่ะ
ถ้าตัดตรงมาจากกรุงเทพฯ จะมีระยะทางอยู่ที่ประมาณ 308 กิโลเมตร
อยู่ทางตะวันออกของไทยใกล้กับประเทศกัมพูชา
ตั้งอยู่บนเกาะกูดที่เป็นหมู่เกาะแยกออกมาจากจังหวัดตราด
หากนั่งเครื่องบินของภาคเอกชนไป ก็สามารถไปลงที่จังหวัดตราดได้เลยค่ะ
จากสนามบินตราดมุ่งหน้าไปยังเกาะกูด ไปด้วยเรือเฟอร์รี่จะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงค่ะ
จริงๆ แล้ว Soneva Kiri มีเครื่องบินและลานจอดเครื่องบินส่วนตัวเฉพาะของรีสอร์ท (Maisi Airport)
แล้วยังสามารถบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ 90 นาทีอีกด้วยค่ะ
ในส่วนของเครื่องบินจะเป็นเครื่องบินเซสนาลำเล็ก รองรับผู้โดยสารได้ 8 คน
ทำให้มองเห็นที่นั่งคนขับได้อย่างชัดเจน
ขนาดผู้ใหญ่นั่งยังรู้สึกตื่นเต้นเลยค่ะ ถ้าเด็กๆ ได้นั่งก็คงจะดีใจมากแน่นอน
และด้วยความที่เป็นเครื่องบินเซสนาลำเล็ก จึงบินในระดับความสูงที่ค่อนข้างต่ำ
พอบินออกจากกรุงเทพฯ แล้วก็จะค่อยๆ มองเห็นเกาะต่างๆ ได้อย่างชัดเจนค่ะ
แม้ภายในเครื่องบินจะค่อนข้างแคบ
แต่ก็สามารถมองเห็นที่นั่งคนขับกับวิวภายนอกได้ จึงไม่รู้สึกเบื่อเลยค่ะ
หลังจากนั่งเครื่องบินมา 90 นาที เครื่องก็จะลงจอดที่สนามบินเกาะไม้ซี้ (Maisi Airport)
ซึ่งเป็นลานจอดเครื่องบินส่วนตัวสำหรับ Soneva Kiri โดยเฉพาะ
ต่อไปเราก็จะออกจากสนามบินไม้ซี้มุ่งหน้าไปรีสอร์ทโดยการนั่งเรือสปีดโบ๊ทค่ะ
จากบนเรือสามารถมองเห็นวิวท้องทะเลสีครามและหมู่เกาะต่างๆ ได้กว้างถึง 360 องศาเลยค่ะ
เห็นแบบนี้แล้วก็ยิ่งอยากให้ถึงรีสอร์ทไวๆ
หลังจากนั่งเรือมาได้ประมาณ 15 นาที เราก็มาถึงรีสอร์ทกันแล้ว
ที่ Soneva Kiri จะมีคอนเซ็ปต์ No News No Shoes อยู่ค่ะ
ถึงจะมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตแต่จะไม่มีหนังสือพิมพ์ เลยไม่ได้รับข่าวสารอะไรเลย
และพอเท้าสัมผัสกับผืนเกาะปุ๊บก็จะต้องถอดรองเท้าใส่ถุงเก็บไว้ทันที
เพราะปกติแล้วคนที่นี่จะเดินเท้าเปล่ากันค่ะ
เกาะนี้ให้บรรยากาศที่เหมาะสำหรับการหลีกหนีจากความวุ่นวายมาพักร้อนและไม่ต้องรับรู้ข่าวสารใดๆ
บริเวณรีสอร์ทมีการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง แม้จะเดินด้วยเท้าเปล่า แต่ฝ่าเท้าก็ไม่สกปรกเลย
เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าการเดินเท้าเปล่าทำให้รู้สึกดีได้ขนาดนี้…
สัมผัสได้ถึงพื้นที่ร้อนขึ้นจากแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบลงมา พอเริ่มค่ำแล้วพื้นก็จะเริ่มเย็นลง
เหมือนประสาทสัมผัสทั้ง5ทำงานได้อย่างเต็มที่
และสิ่งที่น่าทึ่งของ Soneva Kiri<ก็คือขนาดของรีสอร์ทและห้องพักที่กว้างมาก
แม้จะเลือกพักในห้องที่เรียบง่ายที่สุดแต่ก็กว้างถึง ตารางเมตรเลยทีเดียว แถมยังมีสระว่ายน้ำให้ด้วยค่ะ
แค่ได้อยู่ในห้องกว้างๆ ดูสบายตาแบบนี้ก็เหมือนร่างกายได้รับการเยียวยาแล้วค่ะ
พอนึกถึงการ Stay Home และ Work from Home ที่ต้องอยู่แต่บ้านนานๆ แล้ว
ดิฉันรู้สึกได้เลยว่าขนาดของห้องมีผลต่อคนที่อยู่อาศัยในห้องนั้นอย่างมาก
และด้วยความที่ดิฉันเป็นแขกที่เคยมาเข้าพักหลายรอบแล้ว
จึงได้พักที่ห้อง Beach Villa Pool ซึ่งเป็นห้องที่หันหน้าไปทางหาดส่วนตัว
ดิฉันใช้เวลาในช่วงกลางวันใช้ชีวิตอยู่บนชายหาดที่มีลมพัดเย็นสบาย
นอนกลางวันบ้าง อ่านหนังสือบ้าง
สามารถเพลิดเพลินไปกับความหรูหราได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
ด้วยความที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวจึงไม่มีใครผ่านมาเลยค่ะ
เป็นช่วงเวลาที่ได้ฟังเสียงธรรมชาติ เสียงลมพัดเบาๆ พร้อมเสียงแหลมเล็กของฝูงนกและเหล่าแมลง
ซึ่งถ้าใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ก็แทบจะไม่มีโอกาสได้ฟังเสียงธรรมชาติแบบนี้
คุณจะใช้เวลาอยู่ภายในห้องก็ได้
หรือจะเลือกใช้เวลาบนหาดส่วนตัว North Beach
ซึ่งใช้เวลาเดินทางโดยนั่งเรือประมาณ 5 นาทีก็ได้เช่นกัน
เป็นหาดที่ไม่มีคนภายนอกเข้ามา จึงสามารถผ่อนคลายได้อย่างสบายใจ
รู้สึกปลอดภัยแล้วยังเงียบสงบด้วยค่ะ
เสน่ห์ของประเทศไทยคือการได้ออกห่างจากผู้คนและได้ใช้เวลาบนชายหาดแสนวิเศษอันกว้างใหญ่
ที่รีสอร์ท Soneva Kiri นี้ นับว่าเป็น Top Class ของรีสอร์ทติดทะเลเลยทีเดียว
หรือจะเรียกว่าเป็น “รีสอร์ทอันดับหนึ่ง” เลยก็ดูเหมาะสมดีนะคะ
พอได้มาที่นี่แล้วจู่ๆ ก็มีความคิดขึ้นมาเองอย่างน่าประหลาดใจว่า
ไม่ว่าคุณจะชอบทะเลหรือไม่ ดิฉันก็อยากแนะนำให้มาลองพักที่นี่ดูสักครั้ง
ไม่สิ หลายครั้งเลยก็ได้ค่ะ
ทุกครั้งที่มาพัก เราก็จะได้ค้นพบและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ควบคู่กันไปด้วยกัน
ถ้ามัวแต่ดูหรือฟังอย่างเดียว คงไม่สามารถสัมผัสถึงประสบการณ์ (เข้าพัก)
ได้จริงเท่ามาลองสัมผัสด้วยตัวเองนะคะ
สุดท้ายนี้… (คุยเรื่องสัพเพเหระ)
ภายในรีสอร์ทเราจะเดินทางด้วยรถกอล์ฟ
และหากเป็นแขกที่เคยมาพักประจำก็จะมีชื่อสลักไว้บนรถแบบนี้ด้วยค่ะ
ดิฉันมักจะ “หลงทาง” ทุกครั้งที่ออกจากห้อง หาทางไปไม่เจอแล้วก็ไปไม่ถึงที่หมายสักทีค่ะ
จากสปากลับไปที่ห้อง ดิฉันจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที (แต่จริงๆ แค่ 5 นาทีก็ถึงแล้ว)
และถ้าจะไปร้านอาหารก็จะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเลยทีเดียว
ดิฉันกังวลเรื่องนี้ทุกครั้งที่มาเข้าพักเลยค่ะ
ที่รีสอร์ทแห่งนี้เราจะมีบัตเลอร์ส่วนตัวที่เรียกว่ามิสฟรายเดย์ (Ms.Friday)
บัตเลอร์หญิงที่ดูแลดิฉันที่ชื่อ Ms.Taeko ถามดิฉันว่า
สามีตอบไปว่า
(คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า คำว่า “มารับแล้วนะ” เป็นคำพูดก่อนจะเสียชีวิตค่ะ)
รายละเอียดของ Soneva Kiri
เว็บไซต์: https://soneva.com/resorts/
ข้อแนะนำในการเข้าพัก
ด้วยความที่อยู่บนเกาะ อาหารจึงมีราคาค่อนข้างแพง
แนะนำให้จองห้องพักแบบรวมอาหารด้วยจะดีกว่าค่ะ
หากไม่ได้เลือกไฟลท์บินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิมาที่สนามบินส่วนตัวของ Soneva Kiri (Maisi Airport)
ทางรีสอร์ทจะมีส่วนลดให้ ซึ่งราคาอาจถูกลงถึง 25,000 บาทเลยทีเดียว โดยขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่จองค่ะ
บล็อกนี้สามารถอ่านได้ในภาษาอังกฤษ
กรุณาแสดงความคิดเห็นหากคุณชอบบทความนี้