สวัสดีค่ะทุกคน ชิฟูมิ มายด้า ผู้บริหารสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาชมบล็อก
“รีวิวจริงจากผู้บริหารสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย” นะคะ
รีวิวในรอบนี้ดิฉันไม่ได้ไปทานด้วยตัวเองเพราะว่าส่วนตัวแล้วไม่ค่อยถนัดทานของหวานสักเท่าไร
เลยจะนำบทความรีวิวของคุณ P กับคุณ A ที่ชอบทานของหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมาแชร์ให้กับทุกคนแทนนะคะ
ไปเริ่มกันได้เลยค่ะ
สวัสดีค่ะทุกคน
วันนี้เราได้มีโอกาสไปนั่งจิบชายามบ่ายชิลๆ บนชั้น 30 ของโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok มาค่ะ
Afternoon Tea ของที่นี่จะมาในธีม Afternoon Tea at the Library
และนับว่าเป็นมื้อน้ำชายามบ่ายที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ อีกด้วย
เกี่ยวกับ Kimpton Maa-Lai Bangkok (คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ)
ที่มาของ Kimpton Maa-Lai Bangkok (คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ)
Kimpton Maa-Lai Bangkok เป็นโรงแรมในเครือ Kimpton Hotels & Restaurants
ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมบูทีคที่ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1981 ที่เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันนี้ Kimpton มีโรงแรมในเครือมากกว่า 60 แห่ง รวมถึงร้านอาหาร บาร์ และเลานจ์กว่า 80 แห่ง
และมีแผนจะเปิดตัวในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งประเทศทางฝั่งยุโรป แคริบเบียน และจีน
เครือ Kimpton มีรายชื่อติดอยู่ในการจัดอันดับ
“100 บริษัทที่น่าร่วมงานที่สุด” ของนิตยสาร FORTUNE
และได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโรงแรม Intercontinental Hotels Group (IHG)
ในเดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมา
ซึ่งตัวโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok เองก็ถือว่าเป็น
โรงแรมแบรนด์ Kimpton Hotels & Restaurants แห่งแรกในประเทศไทย
และแห่งแรกในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่เพิ่งเปิดตัวในไทยเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมานี้เอง
คอนเซปต์ของโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok (คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ)
คำว่า MAA-LAI (มาลัย) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำว่า “ละเมียด” ตามวิถีแบบไทยที่เชื่อมเข้ากับงานศิลปะ
เช่นเดียวกับการกรองมาลัยที่ต้องอาศัยทักษะและความสร้างสรรค์
จนเกิดมาเป็น “มาลัย” ที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของความละเมียดละไม
ทุกพื้นที่ของ Kimpton จะได้รับการเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียด
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของโรงแรมที่ให้ความสำคัญต่อประสบการณ์อันยอดเยี่ยมของผู้เข้าพักนั่นเองค่ะ
สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok (คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ)
ที่ Kimpton Maa-Lai Bangkok มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ไว้พร้อมรองรับความต้องการของแขกที่มาใช้บริการ
ตั้งแต่ปาร์ตี้เก๋ๆ บาร์ เลานจ์ ร้านอาหาร คาเฟ่ สปา สระว่ายน้ำ ยิม รวมไปถึงชุดน้ำชายามบ่าย
แถมที่นี่ยังเป็น Pet-friendly Hotel ที่พร้อมต้อนรับสัตว์เลี้ยงของแขกทุกคน!
ร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่มีให้เลือกหลากหลาย กระจายอยู่ทั่วโรงแรม
– CRAFT คอมมิวนิตี้ซึ่งเป็นศูนย์รวมของคอกาแฟ ค็อกเทล คราฟท์เบียร์ บริเวณล็อบบี้ของโรงแรม
มีทั้งที่นั่ง Indoor และ Outdoor มาพร้อมวิวสวนสวยท่ามกลางธรรมชาติของโรงแรม
– Ms.Jigger บาร์ค็อกเทลและร้านอาหารอิตาลี ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นสุดชิคที่ชั้น L ของโรงแรม
– Stock.Room ห้องอาหารที่มาในคอนเซปต์ Grocerant จากการรวมกันของ Grocery และ Restaurant
อยู่ที่ชั้น 5 ของโรงแรม เลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่และหลากหลายส่งตรงจากไร่ถึงห้องครัว
– Bar.Yard บาร์บนรูฟท็อปลอยฟ้า ตั้งอยู่บนลานดาดฟ้าชั้น 40 ของโรงแรม
นอกจากร้านอาหารยังมีสปา ยิม สระว่ายน้ำให้พักผ่อนหย่อนใจได้ตามอัธยาศัยอีกต่างหาก
สปา Amaranth Spa ตั้งอยู่ที่ชั้น 4 ของโรงแรม แค่เปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมลอยอบอวลเลยค่ะ
ที่นี่เค้ามีน้ำหอมขายด้วยนะคะ ใครไม่สะดวกมาซื้อที่โรงแรมก็สั่งออนไลน์ได้เช่นกัน
รีวิว Afternoon Tea จิบชายามบ่ายพร้อมชมวิวเมืองกรุงเทพ
Afternoon Tea at the Library ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา
เป็นมื้อน้ำชายามบ่ายที่สูงที่สุดของกรุงเทพ ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 30 ของโรงแรมที่ Maa-Lai Library
จึงเห็นวิวของกรุงเทพได้แบบ 360 องศาท่ามกลางสวนสีเขียวร่มรื่นของย่านหลังสวน
Maa-Lai Library ออกแบบขึ้นในคอนเซ็ปต์มุมอ่านหนังสือในบ้าน
เป็นมุมสงบส่วนตัว เหมาะกับการนั่งอ่านหนังสือเล่มโปรดพร้อมอิ่มอร่อยไปกับเครื่องดื่มและของว่าง
หรือจะใช้คุยงานพร้อมจิบน้ำชาไปพลางก็ได้เหมือนกัน!
บรรยากาศโดยรวมของ Afternoon Tea at the Library
เมื่อมาถึงโรงแรมก็กดลิฟต์ขึ้นมาที่ชั้น 30 ได้เลย พอออกลิฟต์มาจะเจอป้าย Afternoon Tea ตั้งรออยู่
เมื่อเดินเข้ามาจะเป็นวิวกระจกรอบด้านแบบนี้
เพดานสูง บรรยากาศโล่งโปร่งสบายตา ไม่รู้สึกอึดอัดเลยค่ะ
เข้ามาแล้วก็แจ้งชื่อที่จองไว้กับพนักงาน แล้วพนักงานจะพาไปที่โต๊ะ
บรรยากาศด้านในจะให้ฟีลแบบโฮมมี่ เหมือนนั่งจิบชาสบายๆ อยู่ที่บ้าน
ในธีมห้องสมุดบนคอนโดสูง 30 ชั้น
มีโซฟากับทีวีด้วย เหมือนนั่งอยู่ที่บ้านจริงๆ เลยค่ะ
ที่นี่จะมีประมาณ 15 โต๊ะ แต่ละโต๊ะตั้งห่างกันพอดีไม่อึดอัด มีความเป็นส่วนตัว
โต๊ะจะวางต่ำให้ฟีลห้องรับแขก และโซฟานุ่มสบายมาก นอนเล่นได้สบายเหมือนอยู่ที่บ้านจริงๆ
ข้างในจะเปิดเพลงคลาสสิคคลอเบาๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
และด้วยความที่เป็นกระจกรอบด้าน จะนั่งตรงไหนก็เห็นวิวได้ชัดเจนหมดแบบนี้เลยค่ะ
หรือใครอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศออกไปสูดอากาศที่ระเบียง พร้อมชมวิวเมืองกรุงจากมุมสูงโดยไม่มีอะไรมาบดบัง
ที่นี่เค้าก็มีระเบียงกว้างเตรียมไว้ให้ด้วยนะ ไม่ต้องกลัวตกเพราะมีกระจกกั้นไว้ให้เรียบร้อย
(วันที่เราไปฝนเพิ่งหยุดตก บรรยากาศจะแอบอึมครึมนิดนึงค่ะ 555 แต่วิวก็ยังสวยเหมือนเดิมนะ)
ด้านในจะมีโซนบาร์ที่มาพร้อมกับขนมให้เลือกทานแบบ A la carte เพิ่มเติมจากในชุดน้ำชาด้วย
บรรยากาศโฮมมี่สุดๆ ไปเลย ฟีลเหมือนห้องครัวในบ้านเลยค่ะ
ที่เราชอบมากอีกอย่างหนึ่งคือรถน้ำชาคันนี้เลยค่ะ น่ารักมากๆ คลาสสิคสุดๆ
ตัวรถจะตกแต่งด้วยหนังสือน่ารักกรุบกริบไปอีก สมชื่อ Afternoon Tea at the Library เลยค่ะ
รีวิว Afternoon Tea
อย่างที่บอกไปว่าอาฟเตอร์นูนทีของที่นี่มาในธีมห้องสมุดภายใต้คอนเซ็ปต์ Afternoon Tea at the Library
ชุดขนมที่เสิร์ฟคู่กับน้ำชาก็จะเสิร์ฟมาใน “หนังสือไม้” โดยมีให้เลือกสองแบบคือ Pocket Edition และ Premium Edition
โดยจะเปิดให้บริการทุกวันพุธถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 13:00 จนถึง 17:00 ต้องจองโต๊ะล่วงหน้าด้วยนะ!
อันดับแรกพนักงานจะนำชามาให้เลือกค่ะ
หากใครไม่รู้จะเลือกอะไรดี ก็สามารถเทสกลิ่น+สอบถามพนักงานได้เลยค่ะ
พนักงานจะช่วยแนะนำให้เป็นอย่างดีว่าแต่ละสูตรมีส่วนผสมของอะไรบ้าง
ที่สำคัญคือพนักงานที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษได้ด้วยนะคะ
คนที่ไม่ถนัดภาษาไทยเท่าไรก็สามารถสื่อสารกับพนักงานเป็นภาษาอังกฤษได้ด้วยค่ะ
หากดื่มจนหมดกาหนึ่งแล้วก็สามารถเปลี่ยนชาเป็นกลิ่นอื่นได้ด้วย
เหมาะสำหรับคนที่อยากลองดื่มชาที่หลากหลายค่ะ
ที่นี่เขาจะมีชาสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่รังสรรค์ขึ้นสำหรับ
คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ โดยเฉพาะอยู่ 2 สูตรด้วยกันคือ
เบลนด์ Kimpton Maa-Lai Marigold
ที่หอมกลิ่นดอกไม้ที่มีส่วนผสมของมะลิ กุหลาบ และดาวเรือง
ส่วนตัวดื่มแล้วรู้สึกว่าเหมือนชามะลิที่มีกลิ่นหอมคล้ายกับชาเขียวเล็กน้อยค่ะ
ส่วนอีกสูตรนึงจะเป็น เบลนด์ Kimpton Maa-Lai Peach
ดื่มแล้วสดชื่นด้วยกลิ่นหอมของพีช ผสมกับความหอมละมุนของกุหลาบและมะลิ
สูตรนี้แค่รินใส่แก้วกลิ่นพีชก็ตีเข้าจมูกเลย
ดื่มเข้าไปแล้วกลิ่นพีชหอมอบอวลไปทั่วปาก
ใครเป็นสายพีชนี่พลาดไม่ได้เลยนะคะ
ใบชาจะมาในกระปุกทรงสี่เหลี่ยมดูเรียบหรูคลาสสิคแบบนี้
สามารถเปิดเทสกลิ่นก่อนได้ด้วยค่ะ
และนอกจากสองสูตรเฉพาะของ คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ แล้ว
จะมีชาของแบรนด์ MONSOON แบรนด์ชาของไทยที่เป็นมิตรต่อผืนป่าด้วย
อีกสูตรที่เราได้ลองคือ Rainbow Blend ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นเหมือนฟ้าหลังฝน
สูตรนี้บอกเลยว่าเป็นชาสุดพิเศษที่ทำร่วมกับ Gender Station Bangkok
เพื่อเฉลิมฉลองและสนับสนุนสิทธิของชาว LGBT ด้วยนะคะ!
Rainbow Blend จะมีส่วนผสมของชาห้าชนิด ได้แก่ ชาขาว ชาเขียว ชาเหลือง ชาดำ และอู่หลง
ผสานกับมะม่วง เสาวรส มะละกอ และมะลิ เป็นชาที่ดื่มแล้วได้กลิ่นหอมของผลไม้ชัดเจนเลยค่ะ
จิบชาได้สักพักอาหารของเราก็จะมาเสิร์ฟแล้วค่ะ
ชุดน้ำชายามบ่าย Pocket Edition
ชุด The Pocket Edition จะมาพร้อมกับของว่างเลิศรสมากมาย
เช่น ปอเปี๊ยะเนื้อปูในซอสแกง ถุงเงินกะเพราไก่
ทาร์ตพีแคนพร้อมครีมเมเปิล และชูครีม Blood Orange
เสิร์ฟพร้อมเบลนด์ชาไทยพรีเมียมจาก Monsoon และกาแฟ
รอบนี้เราไม่ได้สั่งเป็นชุด The Pocket Edition ค่ะ
แต่ถ่ายใบเมนูมาให้เพื่อนๆ ได้ลองตัดสินใจกันดู
จะสังเกตได้ว่าจะมีสัญลักษณ์เล็กๆ ไว้ท้ายชื่อเมนูด้วย
สามารถดูท้ายเมนูประกอบได้ว่าสัญลักษณ์แต่ละอย่างหมายถึงอะไร
คนที่แพ้อาหารก็สามารถเช็คดูและแจ้งกับพนักงานได้อย่างสบายใจ ถือว่ามีความใส่ใจมากๆ เลยค่ะ
ชุดน้ำชายามบ่าย Premium Edition
ชุดนี้จะเสิร์ฟพร้อมอาหารคาวหวานที่รังสรรค์ขึ้นอย่างประณีตหรูหรา
เสิร์ฟพร้อมเบลนด์ชาไทยพรีเมียมจาก Monsoon และกาแฟ
รอบนี้เรามากันสองคนเลยเลือกทานเป็นชุดนี้ค่ะ
และนี่ก็คือหน้าตาโดยรวมของ Afternoon Tea ในวันนี้ค่ะ
ขนมจะเสิร์ฟมาในรูปแบบของหนังสือไม้สองเล่มวางซ้อนกันแบบนี้
พอเปิดออกมาก็จะหน้าตาแบบนี้!
โดยชั้นบนจะเป็นเมนูของคาวค่ะ
ในชุดจะเสิร์ฟมาให้อย่างละ 2 ชิ้นสำหรับทานสองคนพอดีแบบไม่ต้องแย่งกัน
(ยกเว้นตัวกุ้งตรงกลาง แต่ปริมาณก็ถือว่าพอดีสำหรับสองคนค่ะ)
ในชั้นนี้จะประกอบไปด้วย
ชีสบูราตาเสิร์ฟพร้อมซอสเพสโต้สไตล์อิตาเลียน
จะเสิร์ฟมาในชามสีขาวใบเล็ก คล้ายกระถางต้นไม้ดูน่ารักกรุบกริบแบบนี้ค่ะ
ด้านในจะประกอบไปด้วยชีสบูราตาออนท็อปด้วยซอสเพสโต้
ด้านบนจะมีใบโหระพากับมะเขือเทศฝานชิ้นเล็กๆ ให้ดูมีสีสันน่าทาน
ซอสเพสโต้จะให้รสเค็ม ติดเปรี้ยวนิดๆ ส่วนตัวชีสจะมีความหอมมัน
โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบทานชีสเปล่าๆ พอทานชีส+เพสโต้คู่กันเลยรู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย
แต่พอทานคู่กับใบโหระพากับมะเขือเทศเข้าไปด้วยจะช่วยตัดเลี่ยนได้ดี
กลิ่นหอมของใบโหระพาตีขึ้นจมูก หอมน่าทานมากค่ะ
การทานขนมพร้อมกับจิบชาที่มีรสขมเล็กน้อย เข้ากันได้ดีมากๆ
ต่อไปเป็นเซบิเชล็อบสเตอร์จากแคนาดาพร้อมแอปเปิ้ลเขียวและเซเลอรี
หน้าตาดูมีสีสันน่าทาน ตกแต่งด้วยดอกไม้
เนื้อกุ้งล็อบสเตอร์นุ่มเด้งทานพร้อมแอปเปิ้ลเขียวหั่นเป็นเส้นเล็กๆ ให้รสเปรี้ยวช่วยตัดเลี่ยนได้ดี
ตัวแอปเปิ้ลเขียวจะให้เนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ กลิ่นเซเลอรีก็หอมมาก
ทานคู่กับไข่ปลาด้านบนกัดแล้วน้ำชุ่มฉ่ำ อร่อยมากค่ะ
ต่อมาเป็นแฮมไอเบอริโคพาตาเนกรา 28 เดือนเสิร์ฟบนขนมปังไรย์
ขนมปังมีความกรุบกรอบทานคู่กับแฮมรสเค็ม กินรวมกันแล้วได้รสหวานมัน
ผสมกับชีสที่มีรสเปรี้ยวเบาๆ ตัดกันได้ดีค่ะ
และเมนูสุดท้ายในหมวดของคาวก็คือ Scotch quail eggs ซอสทาทาร์
ทาร์ตไข่ชิ้นพอดีคำ ตัวแป้งทาร์ตแบบร่วน กรุบกรอบกำลังดี
ด้านในจะมีไข่เยิ้มๆ ทานคู่กับซอสทาทาร์รสเปรี้ยวเบาๆ เข้ากันได้เป็นอย่างดีค่ะ
ด้านบนตกแต่งด้วยดอกไม้สีม่วงเล็กๆ เพิ่มสีสันให้เมนูนี้น่าทานขึ้นไปอีก
จบไปกับเมนูของคาวทั้ง 4 อย่าง
ไปต่อกันที่เมนูของหวานในหนังสือเล่มที่สองกันเลยค่ะ!
นี่เป็นหน้าตาโดยรวมของชั้นของหวานค่ะ
ในชั้นนี้จะประกอบไปด้วยของหวานทั้งหมด 6 ชนิดเลยทีเดียว!!
แถมเสิร์ฟมาให้เป็นชิ้นพอดีคำอย่างละ 2 ชิ้นเช่นเดิม
บอกเลยว่าอิ่มจุใจไม่ต้องแย่งกันแน่นอนค่ะ
อย่างแรกจะเป็นทาร์ตเมอแรงก์มะนาว
เนื้อแป้งทาร์ตเป็นแบบร่วน มีความกรุบกรอบ
ตัดกับซอสมะนาวด้านในให้รสเปรี้ยวกำลังดี
ด้านบนจะออนท็อปด้วยเมอแรงก์ดูน่ารักน่าทาน
ทานคู่กับชาได้อร่อยลงตัวเลยค่ะ
ต่อมาจะเป็นเอแคลร์ช็อกโกแลตเจียนดูยา
ด้านบนจะออนท็อปด้วยป็อกกี้สตรอเบอรี่เหลาเป็นรูปดินสอเป็นกิมมิคน่ารักๆ เข้ากับคอนเซ็ปต์หนังสือดีค่ะ
ตัวเอแคลร์กัดไปแล้วซอสช็อกโกแลตด้านในฉ่ำมากกกกก ทานคู่กับถั่วด้านบนได้กลิ่นหอมมัน
ไม่หวานเลี่ยนเกินไปค่ะ
ชิ้นที่ 3 จะเป็น Dark Chocolate Molten Cake
เค้กเนื้อนุ่มหน้าช็อกโกแลตเยิ้มๆ โรยผงโกโก้หอมๆ
เค้กมูสช็อกโกแลตเข้มข้น หวานกำลังดี ทานคู่กับชาแล้วกลมกล่อมดีมาก
ต่อมาเมนูที่ 4 จะเป็น เครมบรูเลมะม่วงและโป๊ยกั๊ก
ด้านล่างจะเป็นครีมคัสตาร์ดหอมมัน ด้านบนเป็นคาราเมลกรอบๆ
ด้านในจะมีซอสมะม่วงเนื้อสัมผัสเป็นวุ้นกรุบๆ ทานแล้วได้กลิ่นมะม่วงอบอวลเต็มปากเต็มคำ
ด้านบนออนท็อปด้วยราสเบอร์รี่ฝานเป็นชิ้นเล็กๆ กับเนื้อมะม่วงให้ดูมีสีสันน่าทาน
ชิ้นที่ 5 เป็น Chili Chocolate Terrines
ช็อกโกแลตเนียนนุ่มละลายในปาก ผสมพริกเล็กน้อย
ทานเข้าไปแล้วจะได้กลิ่นหอมของพริกชัดเจน มีรสเผ็ดที่ปลายลิ้น
ทานแล้วอาจได้รสเผ็ดเล็กน้อย (แค่นิดเดียวจริงๆ ค่ะ คนไม่ทานเผ็ดก็ทานได้แน่นอน)
ทานไปจะได้รสหวานจากช็อกโกแลตแต่จะเหลือความเผ็ดร้อนไว้นิดหน่อย เข้ากันดีค่ะ
และชิ้นสุดท้ายของหมวดของหวานก็คือมาการองราสเบอร์รี่ค่ะ
แป้งมาการองเนื้อเบาๆ ด้านนอกกรอบ ด้านในฟู
ครีมด้านในหอมมาก ทานแล้วได้กลิ่นราสเบอร์รี่ชัดเจน
มีความหวานตัดกับตัวราสเบอร์รี่สดออกมาได้เป็นอย่างดี ทานแล้วสดชื่น อร่อยมากค่ะ
จบไปแล้วกับของหวานทั้งหมด 6 อย่าง บอกเลยว่าอิ่มจุใจกันเลยทีเดียว
ทางร้านรังสรรค์เมนูมาให้ทานคู่กับชาได้เป็นอย่างดี
หากรู้สึกว่าเลี่ยนไปก็ทานไปจิบชาไปพลาง รับรองว่าอร่อยถูกใจหายเลี่ยนแน่นอนค่ะ
แต่!!! เมนูในชุดยังไม่หมดแค่นี้เพราะเรายังเหลือสโคนอีก 4 ชิ้นค่ะ
สโคนจะเสิร์ฟมาเป็นชั้นในรูปแบบคล้ายกรงนกพร้อมซอสให้เลือกทานตามใจชอบอีก 4 รสชาติ
สโคนจะมีสองแบบคือ Vanilla Scones กับ Chipotle Scones
โดยจะเสิร์ฟมาให้อย่างละ 2 ชิ้นเหมือนเดิมค่ะ
Vanilla Scones (สโคนวานิลลา)
ตัวสโคนวานิลลาหอมกลิ่นวานิลลาชัดเจนมาก เนื้อแป้งร่วน หอมมันกำลังดี
Chipotle Scones (สโคนชิโปตเล)
ชิโปตเล คือพริกฆาลาเปญโญสุกที่ผ่านการรมควันและอบจนแห้ง ใช้สำหรับปรุงรสอาหาร
รู้สึกเป็นสโคนที่แปลกใหม่ดีค่ะ กลิ่นพริกหอมหวาน ไม่เผ็ด ไม่แสบคอเลย
ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นของหวานกึ่งของคาวเพราะรสชาติของพริกนี่ล่ะค่ะ
สโคนที่นี่อร่อยมาก เป็นสโคนเนื้อหยาบ แป้งร่วน แต่ไม่ฝืดคอเลยค่ะ
บอกเลยว่าสโคนที่ดีคือสโคนที่ทานแล้วไม่ติดคอนี่ล่ะค่ะ 555555
ทีนี้มาดูที่ซอสกันบ้าง
อย่างที่บอกไปว่าซอสจะเตรียมมาให้ 4 รสชาติด้วยกันได้แก่
Lemon curd, Devonshire vanilla cream, Wild berry jam และ Citrus blood orange marmalade
ซอส Citrus blood orange marmalade จะมีเนื้อส้มผสมอยู่ด้วย รสหวานอร่อย ไม่ขมเปลือกส้มเลยค่ะ
ซอส Wild berry jam จะให้รสเปรี้ยวนำ หวานตาม หอมกลิ่นเบอร์รี่มากกกก
ซอส Lemon curd หอมกลิ่นมะนาวตั้งแต่เปิดฝามาเลย หวาน ไม่เปรี้ยว กลิ่นกับเนื้อสัมผัสจะคล้ายกับทาร์ตเมอแรงก์มะนาว
และสุดท้ายคือ Devonshire vanilla cream ครีมวานิลลาเนื้อเนียนสีขาว หอมกลิ่นวานิลลา
ไม่ว่าจะเป็นซอสแบบไหนก็ทานเข้ากับสโคนได้ทั้งสองสูตรเป็นอย่างดีเลยค่ะ ลองชิมกันดูนะคะ
เห็นแต่ละเมนูแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ แบบนี้แต่บอกเลยว่าอิ่มจุใจมากจริงๆ ค่ะ
เราไม่ได้ทานข้าวมาก่อนก็กลัวว่าจะไม่อิ่มหรือเปล่า
แต่พอทานเสร็จถึงกับคิดเลยว่าดีแล้วที่ไม่ทานมาก่อน เพราะอิ่มมากจริงๆ ค่ะ
เห็นปริมาณจัดเต็มขนาดนี้หลายคนอาจจะคิดว่าต้องมาทานสองคนขึ้นไปเท่านั้นหรือเปล่า
ไม่จำเป็นนะคะ สามารถมานั่งทานชิลๆ คนเดียวได้เลย
แต่ถ้ามาคนเดียว แนะนำให้สั่งเป็นชุดที่เล็กกว่านี้ค่ะ
ถ้าเป็นชุด Premium Edition คิดว่าทานคนเดียวไม่น่าจะหมดแน่ๆ ค่ะ
ราคาของชุด Afternoon Tea
*ราคายังไม่รวมภาษี 7% และค่าบริการ 10%
*สมาชิก IHG One Rewards รับส่วนลดเพิ่ม 20%
ข้อดีและข้อด้อยของ Kimpton Maa-Lai Bangkok (คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ)
ข้อดีของ Kimpton Maa-Lai Bangkok (คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ)
ข้อด้อยของ Kimpton Maa-Lai Bangkok (คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ)
สรุป
จบกันไปแล้วสำหรับการรีวิว Afternoon Tea ที่มาในธีมห้องสมุดของ
โรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok (คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ)
ถือเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดีนะคะ
เพราะส่วนใหญ่อิมเมจของ Afternoon Tea จะออกเป็นแนวคาเฟ่หรืออยู่ในสวน
การได้นั่งจิบชาสบายๆ บนตึกชั้น 30 พร้อมวิวรอบเมืองกรุงเทพแบบ 360 องศานี่ถือเป็นอะไรที่วิเศษมากเลยค่ะ
ใครที่กำลังมองหาร้านนั่งจิบชายามบ่ายชิลๆ
อยู่ต้องขอบอกเลยว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ห้ามพลาดเลยนะคะ
หากมีโอกาสต้องลองมาทานกันให้ได้นะคะ! (ต้องจองล่วงหน้าก่อนน้า)
รายละเอียดของโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok (คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ)
ที่ตั้ง: 78 ซอยต้นสน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 (ใกล้ BTS ชิดลม)
แผนที่:
กรุณาแสดงความคิดเห็นหากคุณชอบบทความนี้