สวัสดีค่ะทุกคน
ชิฟูมิ มายด้า ผู้บริหารสาวคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาชมบล็อก
“รีวิวจริงจากผู้บริหารสาวคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย” นะคะ
วันนี้ดิฉันจะมารีวิวร้าน “Sasaya (ซาซายะ)”
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดิฉันประทับใจทุกครั้งที่มาทาน
ในกรุงเทพฯ มีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่ร้านที่ทำรสชาติออกมาได้เป็นเอกลักษณ์
และโดดเด่นออกมาอย่างเห็นได้ชัดก็คือร้าน “Sasaya” นี่ล่ะค่ะ
ร้านนี้มีสาขาในกรุงเทพ 2 สาขาคือ สาขาสีลม (นราธิวาสซอย 1 และสีลมซอย 6)
กับสาขาสุขุมวิท (พร้อมพงษ์) (อยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 39 กับ 49)
ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์บวกกับบริการที่เป็นเลิศของร้าน
ทำให้ได้รับความนิยมทั้งในหมู่คนญี่ปุ่นและคนไทยในละแวกนั้นด้วยค่ะ
Sasaya ร้านอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับพร้อมบรรยากาศบ้านญี่ปุ่นโบราณ
บรรยากาศภายในร้าน Sasaya
Sasaya เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใช้กำแพงดินล้อมรอบ ให้บรรยากาศแบบบ้านญี่ปุ่นโบราณในชนบท
ด้านในร้านจะแบ่งโต๊ะออกเป็นห้อง ทั้งห้องเล็ก-ใหญ่ มีความเป็นส่วนตัว
ไฟในร้านจะไม่สว่างมาก แสงไฟสลัวๆ ให้ความรู้สึกสงบใจเหมือนอยู่ที่บ้าน
ดิฉันมักจะไปทานที่สาขาสีลมเพราะอยู่ใกล้บ้านค่ะ
ตัวร้านสาขาสีลมจะมี 4 ชั้น โดยชั้นที่ 1 จะมีที่นั่งแบบโต๊ะและเป็นห้องแยก
ส่วนชั้น 2 ถึงชั้น 4 จะเป็นห้องแยกทั้งหมดค่ะ
สาขาสุขุมวิทเองก็จะแบ่งคล้ายๆ กัน
เป็นร้านที่มาใช้บริการได้ในทุกสถานการณ์
ไม่ว่าจะมากับลูกค้าคนสำคัญ นัดสังสรรค์กับเพื่อน หรือมาทานกับครอบครัว
ตัวดิฉันเองก็มาใช้บริการทั้งในเชิงธุรกิจและแบบส่วนตัวเลยค่ะ
ซึ่งทุกคนที่ดิฉันพามาทานที่ Sasaya ก็ประทับใจกลับไปทุกครั้ง
ในญี่ปุ่นเองบ้านสไตล์โบราณแบบนี้ก็ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ
แทบไม่มีโอกาสจะได้เห็นร้านสไตล์แบบนี้ด้วยตาตัวเองด้วยซ้ำค่ะ
เลยคิดว่าเป็นสิ่งที่พิเศษมากที่เราสามารถสัมผัสบรรยากาศเหมือนชนบทญี่ปุ่นได้ในย่านใจกลางเมืองกรุงเทพแบบนี้
แถมรสชาติอาหารยังอร่อยมากอีกด้วย ถือเป็นร้านที่ควรค่าแก่การมาลองที่สุดเลยค่ะ
รีวิวร้าน Sasaya
จุดเด่นของ Sasaya: วัตดุดิบสดใหม่ที่มาพร้อมรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ทางร้านจะใช้ซาชิมิและผักนำเข้าจากญี่ปุ่นแบบสดใหม่ซึ่ง 1 อาทิตย์จะนำเข้ามา 5 ครั้ง
แถมยังมีความพิถีพิถันกับการทำน้ำซุปดาชิเป็นพิเศษด้วยค่ะ
สเน่ห์อีกอย่างหนึ่งของร้าน Sasaya คือมีสาเกญี่ปุ่นชั้นเลิศเตรียมไว้ทานคู่กับอาหารด้วย
เป็นร้านที่สามารถลิ้มรสสาเกญี่ปุ่นที่หลากหลายพร้อมเพลิดเพลินไปกับอาหารอร่อยๆ
อาหารของร้าน Sasaya มีจุดเด่นคือการใช้วัตถุดิบที่สดใหม่และอาหารญี่ปุ่นสไตล์โฮมเมดแบบต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ
มีเมนูให้เลือกหลากหลาย และสำหรับดิฉันที่ทำอาหารทานเองอยู่บ้าง
ก็ทำให้นึกสงสัยขึ้นมาเลยว่าทำอย่างไรถึงเตรียมเมนูไว้ได้ขนาดนี้
ดิฉันถ่ายรูปเมนูไว้ส่วนหนึ่ง เห็นแล้วรู้สึกว่าเมนูครบครันมากจริงๆ ค่ะ
แน่นอนว่ามีอาหารเป็นคอร์สแบบนี้ด้วย ในคอร์สก็จะมีหลายอย่าง
ทั้งกับแกล้ม ของนึ่ง ของทอด ซาชิมิ จานหลัก ของหวาน และอื่นๆ อีกเพียบ
อีกทั้งยังมีรูปอาหารทั้งหมดประกอบให้ด้วย
ทำให้คนที่ไม่เคยทานชุดอาหารญี่ปุ่นก็สามารถดูรูปเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ง่ายค่ะ
เดิมทีอาหารญี่ปุ่นจะไม่ค่อยมีรสเผ็ด
คนที่ทานเผ็ดไม่เก่งก็สามารถทานได้อย่างสบายใจค่ะ
อาหารทุกจานทำขึ้นมาอย่างพิถีพิถันด้วยความตั้งใจ สวยงามน่าทาน
เป็นอาหารโฮมเมดที่แสดงถึงรสชาติดั้งเดิมของญี่ปุ่นออกมาได้อย่างชัดเจน
อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนให้มีเอกลักษณ์ขึ้นมาอีกด้วย
เมนูแนะนำของร้าน Sasaya
ปกติดิฉันจะไปทานที่ร้าน Sasaya ประมาณ 4-5 ครั้งต่อเดือน
เลยอยากจะมาแนะนำเมนูที่ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งก็ต้องสั่งทุกครั้ง คอนเฟิร์มว่าอร่อยจริงค่ะ
เมนูแรกที่ต้องสั่งทุกครั้งคือ “ไทเมชิ (ข้าวหุงปลาไท)”
หลังจากสั่งต้องรอประมาณ 40 นาที ถ้าอยากทานก็จะสั่งเป็นเมนูแรกเลยค่ะ
เป็นเมนูที่ใช้ปลาไทเนื้อแน่นตัวใหญ่ 1 ตัว หุงรวมกับข้าวในหม้อดิน
ในน้ำซุปคอมบุอัดแน่นไปด้วยรสกลมกล่อมและกลิ่นหอมอบอวลของปลาไท
หนึ่งหม้อสามารถแบ่งทานได้ 4 คน ถ้าดิฉันทานไม่หมดก็จะเก็บไว้ทานวันถัดไปค่ะ
นอกจากในเมนูแล้ว สิ่งที่ห้ามพลาดเลยคือ “ซาชิมิวันนี้” ซึ่งเป็นซาชิมิสดใหม่ส่งตรงมาจากญี่ปุ่นเลยค่ะ
ปลาที่ใช้ทำอาหารของญี่ปุ่นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับฤดูกาล
ซึ่งจะสัมผัสถึงฤดูกาลต่างๆ ของญี่ปุ่นได้ผ่านปลานี่ล่ะค่ะ
“ดาชิมากิทามาโกะ (ไข่ม้วนย่างซุปดาชิ)” ฟังดูเหมือนเป็นเมนูธรรมดาง่ายๆ
ที่ทำจากซุปดาชิและไข่ แต่ทำเองให้อร่อยยากมาก
เนื้อสัมผัสนุ่ม ทานไปแล้วกลิ่นหอมของซุปดาชิจะอบอวลไปทั่วปาก
ฝั่งซ้ายคือ “มะเขือม่วงดอง 1 ลูก” ส่วนฝั่งขวาคือ “ปลาหมึกซอสต้นหอมและเกลือ”
มะเขือม่วงดองให้รสเค็มเล็กน้อยกำลังดี ไม่หวานและไม่เปรี้ยวเกินไป
เป็นรสชาติที่บาลานซ์กันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนใหญ่มักนิยมทานของดองคู่กับข้าว
แต่อันนี้รสชาติกำลังดีเลยกินเล่นได้ กรุบกรอบให้ฟีลเหมือนกินสลัดเลยค่ะ
“Negi-Shio Tako – ปลาหมึกซอสต้นห้อมและเกลือ” จานนี้ทีเด็ดคือซอสเกลือกับต้นหอมค่ะ
ปลาหมึกสไลด์บางๆ ให้รสหวานอร่อย ทานคู่กับรสอูมามิของต้นหอม เข้ากันได้อย่างลงตัว
อีกหนึ่งเมนูที่ขาดไม่ได้คือ “Aji Namero หรือปลาอาจิสับคลุกมิโสะ” ที่มีความสดใหม่
หากเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้าอยู่แล้วก็แนะนำให้สั่งคู่กับสาเกญี่ปุ่นเลยค่ะ
ส่วนตอนที่ดิฉันมาทานมื้อกลางวัน ดิฉันจะทานคู่กับข้าวสวยพูนๆ สักถ้วยค่ะ
“เทปปันยากิยามะอิโมะและต้นหอม” เป็นเมนูที่มีรสสัมผัสนุ่มฟูเหมือนแพนเค้ก
ด้านในสอดไส้ด้วยกุ้งซากุระ ทานแล้วได้รสเค็มกำลังดีของกุ้งซากุระ เป็นอีกหนึ่งจานที่อร่อยมากค่ะ
ต่อมาคือเมนู “ฟองเต้าหู้นึ่งห่อลูกชิ้นกุ้ง” เมนูรสเลิศที่ทำขึ้นมาอย่างประณีต
เป็นเมนูที่นำลูกชิ้นกุ้งมาห่อด้วยฟองเต้าหู้ นึ่งจนสุกดีแล้วราดด้วยซอสสูตรพิเศษของทางร้าน
จานนี้แนะนำให้สั่งตามจำนวนคนค่ะ
น้ำซุปจะมีรสชาติบางเบา ละลายไปในปาก
คิดว่าคงหาทานรสชาติแบบนี้ได้ยากค่ะ
ต่อมาคือ “Peperoncino เส้นมันฝรั่ง (สปาเกตตี้เส้นมันฝรั่งผัดกระเทียมและน้ำมันมะกอก)”
เป็นเมนูเส้นผัดที่นำมันฝรั่งมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ เพื่อใช้แทนเส้น
ทานแล้วรู้สึกเหมือนทานข้าวเลยค่ะ
อาหารจีนมีหลายเมนูที่นำมันฝรั่งมาผัด
แต่จานนี้เป็นเมนูที่มีรสชาติต่างจากอาหารจีนเล็กน้อย
ด้วยความที่ใช้ชื่อว่า Peperoncino ตอนแรกเลยแอบคิดว่าจะเผ็ดหรือเปล่า
แต่พอลองทานไปแล้วเป็นจานที่ให้รสเผ็ดกำลังดีที่ช่วยกระตุ้นให้อยากทานมากกว่าเดิมอีกค่ะ
“คอมบุสอดไส้หอยนางรมย่าง” เป็นอีกหนึ่งจานที่ผสมผสานรสชาติของคอมบุและหอยนางรมได้เข้ากันอย่างลงตัว
ราดด้วยซอสพอนสึแล้วทานก็อร่อยเหมือนกัน หรือจะกินเปล่าๆ ก็ได้ค่ะ
ที่ร้าน Sasaya นอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว ขนมก็อร่อยมากเช่นกันนะคะ
ดิฉันมักจะพูดอยู่เสมอว่าตัวเองไม่ค่อยถนัดทานของหวาน
แต่ของหวานของร้าน Sasaya ให้รสหวานแบบกำลังดี
เลยมักจะสั่งทานหลังทานของคาวเสร็จทุกครั้งเลยค่ะ
หนึ่งในเมนูของหวานที่ดิฉันสั่งบ่อยมากคือ “คินสึบะมันหวานญี่ปุ่น Naruto Kintoki” ค่ะ
“คินสึบะ” คือขนมดั้งเดิมของญี่ปุ่น
เป็นการนำถั่วแดงกวนมาเคลือบด้วยชั้นแป้งบางๆ
ที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า (หรือแป้งสาลี) น้ำตาล และน้ำผสมกันแล้วนำไปย่าง
คินสึบะของร้าน Sasaya ทำจากมันหวานที่ชื่อ “Naruto Kintoki” จากจังหวัดโทคุชิมะ
ทานแล้วจะสัมผัสได้ถึงความหอมมันและอร่อยของมันหวานชนิดนี้เลยค่ะ
และอีกหนึ่งเมนูของหวานที่ดิฉันอยากแนะนำคือ “ครีมเค้ก Wasanbon” ค่ะ
Wasanbon คือน้ำตาลที่ทำขึ้นจากกรรมวิธีโบราณของญี่ปุ่นในจังหวัดคางาวะและโทคุชิมะ
ที่ญี่ปุ่นมักจะนำน้ำตาลนี้ไปใช้กับขนมญี่ปุ่นที่มีความหรูหราสวยงาม
เนื้อสัมผัสนุ่มเด้ง ทานอร่อยมากค่ะ
จริงๆ มีอีกหลายเมนูเลยที่ดิฉันอยากนำมารีวิวในวันนี้
ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ทุกคนได้มาลองทานที่ร้าน Sasaya กันดูนะคะ
การแต่งกาย (Dress code): แต่งตัวอย่างไรดี?
ทางร้านไม่ได้กำหนด Dress code ไว้
จะแต่งตัวอย่างไรก็สามารถมาทานได้หมดเลยค่ะ
ราคาอาหารของร้าน Sasaya
ถ้าไม่ดื่มเหล้า แค่ทานอาหารอย่างเดียวก็จะตกประมาณคนละ 1,000 บาทค่ะ
ส่วนตัวดิฉันชอบไปกับสามี ปกติก็จะสั่งเหล้าญี่ปุ่น 300ml มา 1 ขวดทานคู่กับอาหารด้วย
เลยจะตกประมาณ 4,000 บาท/2 คนค่ะ
ทางร้านเปิดทำการช่วงกลางวันด้วยนะคะ
เมนูช่วงกลางวันสามารถทานได้ในราคาไม่เกิน 500 บาทด้วยค่ะ
จุดเด่นและจุดด้อยของร้าน Sasaya
จุดเด่นของร้าน Sasaya
จุดด้อยของร้าน Sasaya
สรุปความเห็นเกี่ยวกับร้าน Sasaya
สำหรับทุกคนที่อยากทานอาหารญี่ปุ่นแบบต้นตำรับแท้ๆ ในกรุงเทพ ต้องบอกเลยว่าห้ามพลาดร้าน Sasaya เลยค่ะ
ทั้งรสชาติอาหารที่อร่อยและเป็นเอกลักษณ์ บรรยากาศในร้านก็ดีต่อใจ แถมบริการก็ดีอีก
เป็นร้านที่ไม่ว่าจะชวนหรือบอกต่อใครให้มาทาน ทุกคนก็ล้วนได้ความประทับใจกลับไปทุกครั้ง
ได้มาทานรอบหนึ่งแล้วต้องติดใจแน่นอนค่ะ
รายละเอียดร้าน Sasaya สาขาสีลมและสาขาสุขุมวิท
รายละเอียดร้าน Sasaya สาขาสีลม
ที่ตั้ง: 8/4 ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 1 แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
(เข้าจากซอยนราธิวาส 1 หรือสีลมซอย 6 ได้ค่ะ)
เบอร์ติดต่อ: 02-634-5850
FB:https://www.facebook.com/SasayaSilom
วันจันทร์ – วันศุกร์: 11:30 – 14:00, 18:00 – 22:30
วันเสาร์: 11:00 – 14:00, 18:00 – 22:30
วันอาทิตย์ : 11:30 – 14:00, 17:30 – 22:30
ที่จอดรถ: มี (จอดที่อาคารปานะวงศ์ได้ค่ะ)
รายละเอียดร้าน Sasaya สาขาสุขุมวิท
ที่ตั้ง: 165 ซอยพร้อมมิตร แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
(อยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 39 กับ 49)
เบอร์ติดต่อ: 02-119-7248
FB:https://www.facebook.com/sasaya.bangkok
วันจันทร์ – วันศุกร์: 11:30 – 14:00, 18:00 – 23:00
วันเสาร์: 11:00 – 14:00, 17:30 – 22:30
วันอาทิตย์: 11:30 – 14:00, 17:30 – 21:30
ที่จอดรถ: มี (จอดที่ The Racquet Club ได้ค่ะ)
กรุณาแสดงความคิดเห็นหากคุณชอบบทความนี้