สวัสดีค่ะทุกคน
ชิฟูมิ มายด้า ผู้บริหารสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาชมบล็อก
“รีวิวจริงจากผู้บริหารสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย” นะคะ
วันนี้ดิฉันจะมาเขียนรีวิวประสบการณ์เข้าพักที่โรงแรม Hyatt Regency Hua Hin
หัวหินเป็นอำเภอหนึ่งของไทยแล้วยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทยด้วยค่ะ
รีสอร์ทติดชายหาด “หัวหิน” คืออะไร
หัวหินที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 200 กิโล
เป็นที่ตั้งของพระราชวังไกลกังวลและที่ประทับแปรพระราชฐานของในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกด้วย
หัวหินอยู่ใกล้กับอ่าวไทย ทำให้สามารถมองเห็นวิวที่สวยงามของอ่าวไทยได้
แถมยังขึ้นชื่อเรื่องรีสอร์ทติดทะเลที่สามารถขับรถจากกรุงเทพฯ ไปได้อีกด้วย
เลยกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดทะเลยอดนิยมของคนไทยไปโดยปริยาย
ซึ่งจะแตกต่างไปจากพัทยาที่ให้ฟีลแบบถนนคนเดินขนาดใหญ่
เพราะหัวหินจะให้บรรยากาศที่เงียบสงบกว่า
เลยเป็นแหล่งรวมรีสอร์ทที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับคนที่อยากหนีจากความวุ่นวายในเมือง
เพื่อมาพักผ่อนหาความสงบให้กับตัวเอง
และด้วยความที่รีสอร์ทตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเลยมองไม่เห็นพระอาทิตย์ตกยามเย็น
แต่วิวพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าก็สวยงามน่าประทับใจเช่นกัน
ผู้คนเลยนิยมพาสุนัขมาวิ่งเล่นหรือออกมาวิ่งออกกำลังกายกันตามถนนเส้นแนวชายฝั่งทะเลที่ยาวสุดลูกหูลูกตา
หัวหินไม่ได้มีแค่ชายหาด แต่มีภูเขาอยู่ใกล้ๆ ด้วย
บนเนินเขาเองก็มีโรงบ่มไวน์ที่สวยงามมากๆ ตั้งอยู่ด้วยเช่นกัน
ฟีเจอร์และสิ่งที่ไม่ควรพลาดที่ Hyatt Regency Hua Hin
ทำไม Hyatt Regency Hua Hin ถึงมีพื้นที่กว้างขวาง?
ดิฉันเคยมาพักที่หัวหินหลายครั้งแล้วแต่จะเป็นทริปพักร้อนของบริษัทค่ะ
ถ้ามาแบบส่วนตัวก็เคยมาแค่ครั้งเดียวเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว
รอบนี้ลองดูมาหลายโรงแรม แต่สุดท้ายก็เลือกพักที่ Hyatt Regency นี่ล่ะค่ะ
เหตุผลแรกที่ทำให้เลือกที่นี่เลยคือตัวโรงแรมมีพื้นที่กว้างมากๆ
หัวหินมีโรงแรมติดทะเลอยู่เยอะมากก็จริง แต่ส่วนมากจะเป็นตึกที่หันไปคนละฝั่งกับทะเล
ทำให้มีห้องที่มองเห็นวิวทะเลอยู่ค่อนข้างน้อย
แถมพื้นที่ยังไม่ค่อยกว้างอีกด้วย
และด้วยความที่ Hyatt Regency Huahin มีพื้นที่กว้างมาก
จึงมีห้องพักหลายแบบรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างเพียงพอ
อีกทั้งตัวโรงแรมยังสร้างเป็นแนวนอนหันหน้าไปทางเดียวกับเส้นขอบชายฝั่งทะเล
เลยให้ฟีลเหมาะกับการมาพักผ่อนชิลๆ ริมทะเลจริงๆ ค่ะ
ภายในพื้นที่ขนาดใหญ่นี้จะมีบ่อน้ำกระจายอยู่ตามจุด
รวมไปถึงต้นไม้และดอกไม้สวยงามนานาพันธุ์รายล้อมไปทั่วรีสอร์ท
แค่ได้เดินชมสวนที่ได้รับการดูแลและแต่งแต้มไว้อย่างสวยงามภายในรีสอร์ท
ก็เหมือนได้รู้สึกผ่อนคลายมากแล้ว
สร้างความทรงจำที่ไม่ลืมกับครอบครัวและคู่รักที่ Hyatt Regency Hua Hin
สำหรับคนที่พาเด็กๆ มาด้วย คิดว่าเด็กๆ น่าจะถูกใจสระว่ายน้ำพร้อมสไลเดอร์กันนะคะ
(แน่นอนว่าผู้ใหญ่ก็สามารถเล่นได้)
เพราะดูเหมือนจะมีหลายครอบครัวเลยที่เลือกมาพักที่นี่เพื่อมาเล่นสระว่ายน้ำพร้อมสไลเดอร์ของที่นี่
จะไปผ่อนคลายชิลๆ ที่สระว่ายน้ำหลักก็ได้ หรือจะเล่นกับลูกก็ดี
สระว่ายน้ำเป็นเส้นตรงยาว จะว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกายก็ได้เช่นกัน
(ส่วนดิฉันเป็นสายว่ายน้ำออกกำลังกายค่ะ)
และนอกจากสระว่ายน้ำหลักแล้วทางโรงแรมยังเตรียมโซน Club Lounge ไว้ด้วยค่ะ
เป็นโซนที่เตรียมไว้สำหรับแขกที่เข้าพักในห้องที่สามารถใช้งาน Club Lounge ได้
รวมถึงแขกที่พักในห้องตั้งแต่ Suite room ขึ้นไปด้วยค่ะ
ความสะดวกสบายของ Club Lounge ที่ Hyatt Regency Hua Hin
รูปแบบห้องพักจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
Standard, Suite และ The Barai
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากแนะนำให้ทุกคนเลือกห้องที่สามารถใช้งาน Club Lounge ได้นะคะ
เราสามารถเข้ามาทานอาหารเช้า หรือมานั่งดื่มใน Club Lounge ได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการเลย
ตอนบ่าย 3 – 5 โมงเย็นจะมี Ice cream time
ส่วนตอน 5 โมง – 1 ทุ่มก็จะเป็นอาหารกินเล่นและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ซึ่งคุณสามารถเข้ามาทานได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มสักบาท
แถมยังมีสระว่ายน้ำด้วย จะนั่งดื่มชิลๆ ที่ขอบสระก็ได้เหมือนกันค่ะ
จริงๆ แล้วดิฉันอยากพักที่ห้อง The Barai Balcony Suite มากกว่า แต่ห้องเต็มหมดเลย
เลยเลือกพักเป็นห้อง Premier Suite แทนค่ะ
ภายในห้องกว้างประมาณ 138 ตารางเมตรและมีระเบียงห้องด้วย
ถ้าเดินออกมาที่ระเบียงก็จะมองเห็นวิวทะเลนิดหน่อยด้วยค่ะ
(จริงๆ จุดนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันไม่ค่อยพอใจเท่าไร)
พอถามพนักงานในโรงแรมดูก็ได้คำตอบมาว่า
ต้องเลือกเป็นห้อง Premier Balcony Suite ถึงจะเห็นวิวทะเลได้ชัดเจนค่ะ
นอกจากนี้ ถ้าเลือกพักเป็นห้อง Suite ขึ้นไปจะมีคอร์สนวด
“The Barai Spa” ฟรี 60 นาทีแถมมาด้วย
สปาของที่นี่น่าประทับใจมากจนเหมือนได้หลุดไปอีกโลกหนึ่งเลย
โซนสปาให้บรรยากาศที่ต่างจากสวนและภายในห้องอย่างสิ้นเชิง
เป็นสปาที่เหมือนเขาวงกตชวนให้หลงเดินเข้าไปจริงๆ ค่ะ
บริการสปาของที่นี่เพอร์เฟคมากๆ จนไม่อยากจะเชื่อว่าแถมมาฟรีๆ
เวลาแค่ 60 นาทีนี่มันไม่พอจริงๆ ค่ะ
ดิฉันติดใจจนคิดว่ารอบหน้าจะลองพักที่ The Barai ดูสักครั้งค่ะ
สำหรับข้อเสียมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นค่ะ…
กรุณาแสดงความคิดเห็นหากคุณชอบบทความนี้