สวัสดีค่ะทุกคน
ชิฟูมิ มายด้า ผู้บริหารสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาชมบล็อก
“รีวิวจริงจากผู้บริหารสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย” นะคะ
วันนี้ดิฉันจะมารีวิวห้องอาหารฝรั่งเศสระดับท็อปในประเทศไทย
Le Normandie (เลอ นอร์มังดี) การันตีโดยรางวัลมิชลิน 2 ดาว
ดิฉันไปห้องอาหารแห่งนี้เพราะได้ยินว่ามีคอร์สอาหารกลางวันแบบใหม่
Le Normandie by ALAIN ROUX (เลอ นอร์มังดี บาย อลัง รูซ์) ห้องอาหารฝรั่งเศสที่ก่อตั้งเมื่อปี 2501 (ค.ศ. 1958)
Le Normandie เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสในประเทศไทย
ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 บนปีกอาคารฝั่งติดแม่น้ำเจ้าพระยาในโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ
โดยรับเชฟ ALAIN ROUX เข้ามาเป็นหัวหน้าเชฟคนใหม่เมื่อเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา
ดิฉันรู้มาว่าเชฟ ALAIN ROUX เคยเป็นเชฟมากความสามารถอยู่ที่โรงแรมวอเตอร์ไซด์ อินน์ ประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งโรงแรมวอเตอร์ไซด์ อินน์ ได้รับรางวัลมิชลิน 3 ดาวอย่างต่อเนื่องยาวนานมาเป็นเวลา 38 ปี
แต่ก่อนร้านนี้จะเสิร์ฟเมนูอาหารกลางวันมากถึง “6 คอร์ส”
แต่ในปัจจุบันมีเมนูอาหารกลางวันแบบ “3 คอร์ส” เพิ่มขึ้นมาด้วย
ทำให้ดิฉันได้มีโอกาสได้ไปเยือนร้านนี้อีกครั้งหนึ่ง
บรรยากาศภายในร้าน
ร้าน Le Normandie ได้ชื่อว่าเป็น “ร้านอาหารชั้นยอด”
พอได้มาทานแล้วบอกได้คำเดียวเลยว่า เห็นด้วย! เพราะมันสุดยอดมากจริงๆ ค่ะ
จานอาหารตกแต่งอย่างหรูหราสวยงาม พนักงานมีความคล่องแคล่วและช่ำชอง
บริการดี ภาชนะต่างๆ ล้วนได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
หรือแม้แต่ผ้าปูโต๊ะก็ไม่เห็นรอยยับแม้แต่น้อย
ทุกอย่างที่นี่ดูเพอเฟ็คไปหมดจนไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ
สำหรับโต๊ะทานอาหารจะเลือกวิวได้ 2 แบบ
คือโต๊ะที่เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา และโต๊ะที่เห็นวิวตึกสูงใจกลางกรุงเทพฯ
ซึ่งแน่นอนว่าโต๊ะที่เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยามักจะได้รับความนิยมมากกว่าค่ะ
ในตอนกลางวัน แม่น้ำจะสะท้อนกับแสงอาทิตย์ทำให้น้ำดูเป็นประกายระยิบระยับ
ส่วนตอนกลางคืน โรงแรมต่างๆ ที่ตั้งตระหง่านตามแนวริมน้ำจะพร้อมใจกันเปิดไฟ
ทำให้ลูกค้าได้เห็นบรรยากาศที่สวยงามตระการตาด้วยตาตนเอง
“ช่วงเวลาอันเป็นนิรันดร์” เป็นคำบรรยายความรู้สึกที่เหมาะที่สุดแล้วค่ะ
สิ่งที่ทำให้ดิฉันมองว่า Le Normandie คือร้านอาหารที่ยอดเยี่ยมคือการจัดโต๊ะอาหารด้วยความใส่ใจ
เพื่อให้ส่วนที่เหลือของร้านมีความสมดุลตรงตามจุดประสงค์ในการมารับประทานอาหารของลูกค้า
ห้องอาหารนี้จัดโต๊ะตามจำนวนลูกค้าด้วยความใส่ใจ
เช่น มาทานกันกี่คน มาเป็นคู่หรือมาเป็นครอบครัว การประชุมทางธุรกิจ หรือวันครบรอบต่างๆ
ดิฉันมาเป็นคู่กับสามี ซึ่งโต๊ะอื่นในร้านส่วนมากก็มาเป็นคู่เช่นเดียวกับดิฉันค่ะ
เราสองคนทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลายมากเลยค่ะ
บางช่วงก็จะมีลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มอยู่บ้าง (ประมาณ 4-8 คน) แต่ร้านจะจัดโต๊ะให้อยู่ค่อนข้างห่างกัน
ทำให้ดิฉันรู้สึกประทับใจมากที่ร้านใส่ใจในรายละเอียดยิบย่อยเช่นนี้
ที่ Le Normandie ไม่เพียงแต่คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับอาหาร
แต่บรรยากาศภายในร้านก็ดีมากๆ เช่นกันค่ะ
รีวิวอาหาร
ที่ร้านจะแบ่งเป็นคอร์สอาหารกลางวันและอาหารเย็น
สำหรับอาหารกลางวันจะแบ่งตามนี้ค่ะ
สามารถสั่งไวน์ที่เข้าคู่กับอาหารในเมนูของตัวเองได้ด้วยนะคะ
ดิฉันรู้สึกว่า 6 คอร์สมันเยอะเกินไปหน่อย เลยเลือกสั่งเป็น 3 คอร์สแทนค่ะ
ชุดอาหาร 3 คอร์สจะประกอบไปด้วยอาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลัก และของหวาน
อาหารเรียกน้ำย่อยและจานหลักจะมีอย่างละ 2 ประเภท
สามารถเลือกทานได้ตามใจชอบเลยค่ะ
เมื่อเราเลือกอาหารที่ต้องการได้แล้ว
ซอมเมอลิเยร์ (บริกรเสิร์ฟไวน์) จะนำเมนูแชมเปญก่อนอาหารมาให้เลือกต่อค่ะ
ซอมเมอลิเยร์จะอธิบายจุดเด่นของของแชมเปญแต่ละชนิดให้ฟังอย่างละเอียด
ระหว่างรออาหารเรียกน้ำย่อยมาเสิร์ฟก็จะมี “Amuse (ของว่างทานเล่น)” ให้ทานรอไปพลางๆ ก่อนค่ะ
ในวันนี้จะเป็นมันฝรั่งกับซุปครีมข้น (Cream puree) ค่ะ
อาหารจานนี้ให้รสชาติที่ทำให้นึกถึงฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจเลยแหละค่ะ
ทางซ้ายด้านนอกจะเป็นช็อกโกแลตรสขม ส่วนด้านในจะเป็นมูสฟัวการส์
ส่วนทางด้านขวามือ.. ดิฉันลืมไปแล้วว่าคืออะไร ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ
เมื่อได้ทาน Amuse แล้วคุณจะคาดหวังเป็นอย่างมากว่าทางร้านจะเสิร์ฟอาหารแบบไหนมาให้ทานกันนะ?
ดื่มแชมเปญพร้อมทาน Amuse ไปพลางระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ
อาหารเรียกน้ำย่อยในวันนั้นสามารถเลือกได้ระหว่าง “ฟัวกราส์” หรือ “เซวิเช่”
สามีดิฉันเลือกฟัวกราส์ ส่วนดิฉันเลือกเป็นเซวิเช่ค่ะ
ฟัวกราส์เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยแบบเบาๆ และรสชาติดี
มีรสเปรี้ยวหวานผสมกันจากส้มซึ่งเข้ากันได้ดีกับฟัวกราส์ค่ะ
สามีดิฉันทานคู่กับไวน์ เลยเลือกดื่มไวน์ขาวที่มีเนื้อสัมผัสค่อนข้างเข้มข้น
ไวน์จะช่วยให้รสชาติของฟัวกราส์เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของดิฉันเลือกทานเป็นเซวิเช่ปลาหมึกยักษ์และปลากะพง
รสหวานของปลาหมีกยักษ์และปลากะพงเสิร์ฟมาพร้อมกับซอสเสาวรสที่มีความเปรี้ยวอย่างลงตัว
ทำให้อาหารจานนี้มีความสดชื่น
จานต่อมาคืออาหารจานหลักที่จะให้เลือกระหว่าง Veal (เนื้อลูกวัว) และ Halibut (ปลาแฮลิบัต)
เราสองคนเลือกเป็น Veal ทั้งคู่ค่ะ
เนื้อนุ่มมากแบบไม่อยากจะเชื่อ สามารถผ่าได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้มีดหั่นเนื้อเลยด้วยซ้ำ
ผักเคียงในจานมีความขมฉพาะตัว
ความขมและกลิ่นหอมของเห็ดทรัฟเฟิลช่วยให้รสชาติของ Veal เด่นชัดขึ้น
อาหารจานนี้สดชื่นและเบากว่าที่เห็นค่ะ
อาหารจานสุดท้ายของคอร์สคือ
ของหวานที่ผสมผสานความเป็นเมืองร้อนของไทยและฝรั่งเศสเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ดิฉันไม่ค่อยถนัดของหวานเท่าไหร่นักนะคะ แต่จานนี้ค่อนข้างต่างออกไป
รสชาติไม่หวานมาก ตัดเปรี้ยวด้วยสับปะรดพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมะพร้าวซอร์เบต์
ให้รสชาติลงตัวกำลังดีเลยค่ะ
อาหารที่มาเสิร์ฟก็ไม่ได้มากอะไร แต่รู้สึกอิ่มกำลังดี
ไม่รู้อิ่มบรรยากาศหรือเพราะได้ทานอาหารอย่างผ่อนคลายกันแน่
หลังจากทานของหวานเสร็จ เราก็มาพักผ่อนหย่อนใจด้วยการดื่มกาแฟต่อพร้อมช็อกโกแลตเล็กน้อย
2 ชั่วโมงครึ่งผ่านไปไวเหมือนโกหก
นั่งมองดูแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อย ๆ และเรือหลายลำแล่นผ่านไปมา
จนรู้สึกตัวอีกทีถึงรู้ตัวว่าใช้เวลาอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว
เราสองคนรู้สึกคุ้มค่าที่ได้ใช้เวลาอย่างมีความสุขที่นี่
ไม่เพียงแค่การทานอาหารเท่านั้นแต่ยังรวมถึงสถานที่และบรรยากาศโดยรอบอีกด้วย
การแต่งกาย
ดิฉันรู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องการแต่งกายเท่าไรเมื่อเทียบกับแต่ก่อน
ทาง Le Normandie จะติดต่อมาหาทางอีเมลเพื่อแจ้งเกี่ยวกับเรื่องการแต่งกายให้ทราบก่อนถึงวันที่จองไว้
การแต่งกายช่วงกลางวันและเย็นจะแตกต่างกันนะคะ
ช่วงกลางวัน: Smart elegance
ชุดสูทเชิงธุรกิจหรือเดรสแบบทันสมัย
เอาเป็นว่าควรใส่ชุดที่ดูดีและทันสมัยกว่าชุดที่ใส่ประจำทุกวันเล็กน้อยจะเหมาะสมกว่าค่ะ
ไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อคลุมในช่วงกลางวัน ส่วนมากจะสวมกันช่วงเย็นมากกว่าค่ะ
แต่ก็น่าจะดีกว่าถ้าสวมเสื้อคลุมไปด้วย
เสื้อแขนสั้นไม่ได้นะคะ ต้องเป็นแขนยาวเท่านั้นค่ะ
ไม่ต้องผูกเน็กไท
กางเกงขาสั้นก็ห้ามค่ะ ต้องเป็นกางเกงสแล็คเท่านั้น
ช่วงเย็น: ชุดแบบกึ่งทางการ Semi-formal
ทางห้องอาหารไม่ได้ระบุคำว่า “กึ่งทางการหรือ Semi-formal” ไว้ชัดเจน
แต่ดิฉันมองว่าต้องแต่งกายให้ดูดีเหมาะสมกับสถานที่แต่ไม่เว่อร์จนเกินไป
ส่วนใหญ่เป็นชุดค็อกเทลหรือเดรสยาว
ชุดวันพีชก็ไม่มีปัญหาค่ะ
เห็นหลายคนสวมเครื่องประดับสวยงามดูมีระดับมากเลยค่ะ
ต้องสวมเสื้อคลุม
ไม่จำเป็นต้องผูกเน็กไท
ราคา
ราคาอาหารแบบเซ็ตเมนูมีดังนี้ค่ะ
* ชุดอาหาร 3 คอร์ส (2,500 บาท) เฉพาะวันอังคาร – วันศุกร์
* ชุดอาหาร 3 คอร์ส+ชีส (3,400 บาท) เฉพาะวันอังคาร – วันศุกร์
* ไวน์คู่กับชุดอาหาร 3 คอร์ส (1,600 บาท)
* ชุดอาหาร 6 คอร์ส (6,400 บาท)
* ชุดอาหาร 6 คอร์ส+ชีส (7,300 บาท)
* ไวน์คู่กับชุดอาหาร 6 คอร์ส (3,500 บาท)
* เมนู A la carte (ราคาเริ่มต้นที่ 2,200 บาท)
* ชุดอาหาร 6 คอร์ส (6,400 บาท)
* ชุดอาหาร 6 คอร์ส+ชีส (7,300 บาท)
* ไวน์คู่กับชุดอาหาร 6 คอร์ส (3,500 บาท)
* เมนู A la carte (ราคาเริ่มต้นที่ 2,200 บาท)
* ชุดอาหาร 8 คอร์ส (7,500 บาท)
* ชุดอาหาร 8 คอร์ส+ชีส (8,400 บาท)
* ไวน์คู่กับชุดอาหาร 8 คอร์ส (4,200 บาท)
* เมนู A la carte (ราคาเริ่มต้นที่ 2,200 บาท)
เราสองคนจ่ายค่าอาหารไป 13,000 บาท
ราคานี้รวมชุดอาหารกลางวัน 3 คอร์สสำหรับ 2 คน, แชมเปญ 2 แก้ว และไวน์คู่กับอาหารสำหรับ 1 คน
เราสองคนรู้สึกแฮปปี้มากกับมื้ออาหาร แถมก่อนกลับยังได้ของที่ระลึกมาด้วยค่ะ
เป็นกล่องสีทองดูหรูหราสวยงามมาก
แต่ถ้าทุกคนอยากรู้ว่าข้างในกล่องคืออะไร ต้องลองไปที่ Le Normandie ด้วยตัวเองดูนะคะ
แล้วทุกคนจะเข้าใจว่าเวลาแห่งความสุขอันเป็นนิรันดร์นั้นมันเป็นยังไง
บล็อกนี้สามารถอ่านได้ในภาษาอังกฤษ
รายละเอียดร้าน Le Normandie
ที่ตั้ง: ภายในโรงแรมเดอะแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ (The Mandarin Oriental Bangkok)
วันทำการ: วันอังคาร – วันอาทิตย์
อาหารกลางวัน: 12.00 – 14.30 น. (สั่งอาหารจานสุดท้าย 14.00 น.)
อาหารเย็น: 19.00 – 22.00 น. (สั่งจานสุดท้ายสำหรับเช็ตเมนู 21.00 น. / เมนู A la carte 21.30 น.)
กรุณาแสดงความคิดเห็นหากคุณชอบบทความนี้